วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558


ลิมป์ บิซกิต (อังกฤษLimp Bizkit) เป็นวงนูเมทัลสัญชาติอเมริกัน จากเมืองแจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา สมาชิกปัจจุบันคือ เฟร็ด เดิสต์ นักร้องนำ, แซม ริเวอร์ส มือเบส , จอห์น อ็อตโต มือกลอง เทอร์รี บัลซาโม มือกีตาร์และเทิร์นเทเบิล ส่วนมือกีตาร์เดิม เวส บอร์แลนด์ ออกจากวงในปี 2001 หลังจากออกอัลบั้ม 3 ชุด และแทนโดยไมค์ สมิธ ในการออกผลงานชุดที่ 4 Results May Vary แล้วบอร์แลนด์เข้ามาร่วมวงอีกครั้งในชุด The Unquestionable Truth (Part 1) และออกอีกครั้งในปี 2006 เพื่อทำงานร่วมกับวงอื่น วงมียอดขายอัลบั้ม 33 ล้านชุดทั่วโลก
ประวัติ ค่ายฟลิพเร็คคอร์ดส ซึ่งเป็นค่ายอินดี้ต้นสังกัดของ ลิมป์บิซกิต จ่ายเงินจ้างให้สถานีวิทยุแห่งหนี่ง เล่นซิงเกิลเพลงแรกของ ลิมป์บิซกิต ชื่อ Counterfeit หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สลงข่าวเรื่องนี้ แม้จะเป็นข่าวไม่ดี แต่ข่าวก็คือข่าว ลิมป์บิซกิต จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก ต่อมาลิมป์บิซกิต ออกซิงเกิลใหม่ เป็นการนำเพลง Faith ของจอร์จ ไมเคิลที่โด่งดังในยุคทศวรรษ 80 มาทำใหม่ลิมป์บิซกิต เป็นวงแร็พคอร์ ที่นำแนวดนตรีเมทัล พั้งค์ ฮิพฮ็อพ มาผสมผสานกัน พวกเขา มาจากเมืองแจ็คสันวิลล์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวง Molly Hatchet, Lynyrd Skynyrd และ 38 Special คุณสมบัติของ ลิมป์บิซกิต ตรงตามแบบฉบับวงร็อก กล่าวคือ ทำเพลงที่ทำให้แฟนเพลงตกใจด้วยความเต็มใจ และยินดีอย่างยิ่ง ทั้งยังมีการแสดงคอนเสิร์ตแบบแหวกแนวด้วย
เฟร็ด เดิร์สท ช่างสักผู้กลายมาเป็นนักร้องนำของ ลิมป์บิซกิต ตั้งวงขึ้นร่วมกับแซม ริเวอร์ส เพื่อนเก่าซึ่งรับตำแหน่งมือเบสของวง ต่อมา แซมพาจอห์น อ็อตโต้ ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นมือกลองวงแจ๊ซมาเข้าวงด้วย หลังจากนั้น ทางวงก็ได้ตัวเวส บอร์แลนด์ มือกีต้าร์ แล้วทั้งสี่ก็กลายเป็นสมาชิก ลิมป์บิซกิต ยุคบุกเบิก ทั้งสี่เห็นพ้องกันว่า ควรจะตั้งชื่อวงว่า ลิมป์บิซกิต แต่แม้จะมีวงเรียบร้อยแล้ว ทางวงยังมีอุปสรรคอีกประการหนึ่งคือ การทำให้คนรู้จักวงดนตรีของพวกเขา เฟร็ด เดิร์สทแก้ปัญหานี้โดยใช้อาชีพรับสักร่างกายของเขาเป็นเครื่องมือ ว่ากันว่าหลังจาก ลิมป์บิซกิต ตั้งวงได้ไม่นาน วง Korn ได้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่แจ็คสันวิลล์ หลังแสดงเสร็จ ฟีลดี้ มือเบส กับเฮ้ด มือกีต้าร์วง Korn ได้ไปที่บ้านของเฟร็ดเพื่อให้เขาสักให้ โชคเข้าข้างเฟร็ด เพราะฟีลดี้กับเฮ้ดกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขา เมื่อวง Korn มาแจ็คสันวิลล์อีกครั้ง เฟร็ดจึงเอาเทปตัวอย่างของ ลิมป์บิซกิต ให้ฟีลดี้กับเฮ้ดไปและทาง Korn ก็สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะส่งเทปต่อไปให้รอส โรบินสัน โปรดิวเซอร์ของวง รอส โรบินสันชอบผลงานของ ลิมป์บิซกิต มาก นับแต่นั้นมาลิมป์บิซกิต ก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการเพลง และได้แสดงคอนเสิร์ตกับ House of Pain และ The Deftones
ในปี 1995 ลิมป์บิซกิต ได้ตัวสมาชิกคนที่ 5 ซึ่งเป็นคนสุดท้ายคือดีเจเลธัล นักประดิษฐ์เสียงจากเทิร์นเทเบิ้ลจากวง House of Pain เมื่อได้ดีเจเลธัลมา LIMP BIZKIT ก็มีแนวเพลงใหม่เข้ามาผสมผสานด้วยคือ แนวฮิพฮ็อพแบบแปลก ๆ เพราะการสแครชแผ่นของดีเจเลธัล ไม่ใช่การสแครชแผ่นพื้น ๆ แบบดีเจทั่วไป ลิมป์บิซกิตได้ข้อเสนอจากค่ายเพลงทั่วอเมริกา แต่ทางวงตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายอินดี้ชื่อว่า ฟลิพเรคคอร์ดส แล้วออกอัลบั้มแรกชื่อว่า Three Dollar Bill Y'all$ ในปี 1997 หลังออกอัลบั้มลิมป์บิซกิตออกทัวร์โปรโมตอัลบั้มอย่างหนัก การแสดงคอนเสิร์ตของลิมป์บิซกิตมีอะไรพิสดารเสมอ ครั้งหนึ่ง เฟร็ด เดิร์สท นักร้องนำออกจากห้องน้ำขนาดใหญ่บนเวที ท่ามกลางฉากที่ได้รับอิทธิพลจากหนังไซไฟ แถมยังมีนักเต้นเบรกแด๊นซ์อยู่โดยรอบด้วย การแสดงคอนเสิร์ตแบบนี้ทำให้ ลิมป์บิซกิต ได้แฟนเพลงกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็นำความอื้อฉาวมาด้วย โดยเฉพาะเมื่อ ลิมป์บิซกิต นำเพลง Faith ของจอร์จ ไมเคิลมาทำใหม่ ในช่วงที่จอร์จตกเป็นข่าวถูกจับกุมในห้องน้ำ เพราะทำอนาจารพอดี
Significant Other อัลบั้มชุดที่ 2 ของลิมป์บิซกิต ออกขายในวันที่ 22 มิถุนายน 1999 และทำยอดขายได้ถึง 5 แสนชุดในสัปดาห์แรก งานชุดนี้มีศิลปินดังมาร่วมงานมากมาย เช่น ดีเจพรีเมียร์จากวง Gangstarr จอน เดวิสจาก Korn สก็อต ไวแลนด์จาก Stone Temple Pilots และเม็ทธอดแมนจาก Wu Tang Clan ด้วย (แม้แต่แม่ของเฟร็ด เดิร์สทยังมีภาพอยู่บนปกอัลบั้มด้วย)  อัลบั้มใหม่ของ ลิมป์บิซกิตจะออกมาในเดือนสิงหาคมนี้ ใช้ชื่อ Chocolate Starfish and the Hotdog Flavored Water โดยมีเพลง Take A Look Around ที่เป็นเพลงธีมของหนังเรื่อง Mission Impossible II หรือ M:I-2 รวมอยู่ด้วย
ชื่อวง ลิมป์บิซกิต เป็นชื่อที่เขียนให้เพี้ยนไปจากตัวสะกดจริง เช่นเดียวกับการสะกดชื่อวง Led Zeppelin ที่มาของชื่อวงมาจาก คำพูดของเพื่อนคนหนึ่งของเฟร็ด ที่พูดถึงเฟร็ดว่า "His brain was like a limp biscuit" (เฟร็ดเป็นคนสมองทึบ) แต่แทนที่เฟร็ดจะโกรธ เขากลับชอบ และเอาคำนี้มาใช้เป็นชื่อวงลิมป์บิซกิต จ่ายใต้โต๊ะให้สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง เปิดซิงเกิล Counterfeit ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกของวง ในรายการพิเศษของเอ็มทีวี เฟร็ดกล่าวว่าสมัยที่ ลิมป์บิซกิต ยังไม่มีใครรู้จัก (ในปี 1998) ทางวงได้จ่ายเงินให้สถานีวิทยุ KUFO ในโคโลราโด้ให้เล่นซิงเกิลเพลง Couterfeit ประมาณ 5000 เหรียญ ต่อการเล่น 5 ครั้งใน 5 สัปดาห์ เฟร็ดบอกว่า การทำอย่างนี้ได้ผลดีมาก ปัจจุบันลิมป์บิซกิตได้กำลังผลิตอัลบั้มใหม่ในรอบ 5 ปีให้หลังจากอัลบั้ม The Unquestionable Truth (Part 1) และในอัลบั้มนี้มีชื่อว่า "Gold Cobra" และจะปล่อยในภายใต้ค่าย"Polydor/Interscope"ในเครือ Universal Music Group แล้วจะเปิดตัวเพลงและมิวสิกวิดีโอนำร่องในเดือน มีนาคม 2010
ที่มาhttps://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%A7%E0%B8%87santana&espv=2&biw=1366&bih=624&source=lnms&sa=X&ei=oKgXVc2TJoKKuwSdo4DQDg&ved=0CAUQ_AUoAA&dpr=1#q=%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%95

คาร์ลอส ซานตาน่า (อังกฤษ: Carlos Santana) มีชื่อเต็มว่า คาร์ลอส ออกุสโต อัลเบส ซานตาน่า (Carlos Augusto Alves Santana) เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 เป็นนักกีตาร์ละตินร็อก ที่ได้รับฉายาว่า ราชาละตินร็อก เป็นชาวอเมริกัน-เม็กซิกัน เกิดที่ประเทศเม็กซิโก โดยเป็นลูกชายของนักไวโอลินชาวเม็กซิกัน
ซานตาน่า เริ่มเล่นดนตรีครั้งแรกเมื่ออายุครบ 5 ขวบ โดยเริ่มจากไวโอลินที่พ่อซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ ต่อมาครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ติฮัวน่า ซึ่งใกล้กับพรมแดนสหรัฐอเมริกา ทำให้ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากอเมริกาทั้ง 
ร็อกแอนด์โรลและบลูส์ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ซานตาน่าพยายามที่จะรวบรวมดนตรีแบบละตินเข้าไว้กับร็อกและบลูส์
ต่อมาเมื่อครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกในปี ค.ศ. 1960 ซานตาน่าย้ายตามมาในปีถัดมา และที่ซานฟรานซิสโกนี่เอง ที่ซานตาน่าได้พบกับวัฒนธรรมแปลกใหม่และแนวดนตรีที่ไม่เคยพบมาก่อน ต่อมาในปี ค.ศ. 1966 ซานตาน่า จึงรวบรวมเพื่อนนักดนตรีก่อตั้งเป็นวงดนตรีชื่อ Santana Blues Band ซึ่งสมาชิกประกอบด้วย เดวิด บราวน์ (เบส), ร็อด ฮาร์เปอร์ (กลอง), ทอม เฟรเซอร์ (ริธึมกีตาร์), เกรก โรลี (คีย์บอร์ด) เล่นดนตรีตามไนต์คลับทั่วไป จนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมา ได้ไปเล่นที่คลับอวาลอนบอลรูม เปลี่ยนชื่อวงมาเป็น Santana แบบในปัจจุบัน โดยเน้นจังหวะริธึ่มแบบละติน
ซานตาน่าเริ่มมีชื่อเสียงกับการเล่นเพลงในแบบละตินร็อก ได้รับการกล่าวขวัญเป็นศิลปินแนวหน้าคลื่นลูกใหม่ไฟแรง และมีชื่อเสียงขึ้นมาในทศวรรษที่ 70 จากเทศกาลดนตรีวูดสต็อก มีผลงานเพลงที่รู้จักกันมาจนปัจจุบันนี้ ได้แก่ Black Magic Woman, Oye Como Va, Europa, Jingo, Samba Pa Ti, Corazon Espinado, 
El Farol เป็นต้น โดยที่ซานตาน่าเป็นผู้ที่เล่นกีตาร์เอง มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เต็มไปด้วยสีสันและเครื่องประกอบจังหวะมากมาย และหลายเพลงเป็นเพลงบรรเลง ได้ร่วมงานกับนักดนตรีระดับโลกหลายคน เช่น อีริค แคลปตัน และได้มีชื่อบรรจุไว้ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ด้วย
ในปี ค.ศ. 1999 คาร์ลอส ซานตาน่า กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งจากอัลบั้ม "Supernatural" มีเพลงที่โด่งดังจากการร่วมงานกับศิลปินรุ่นใหม่ เช่น ร็อบ โทมัส จากแมทช์บ็อก ทเวนตี้ คือ Smooth และมีเพลงอื่นที่โด่งดังเช่น Maria Maria ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่ อัลบั้มยอดเยี่ยม และSmooth ก็ได้รับรางวัลเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีด้วย
จากนั้นในปี ค.ศ. 2002 คาร์ลอส ซานตาน่า ก็ได้ออกอัลบั้มอีกชุดคือ "Shaman" มีเพลงที่โด่งดัง คือ The Game of Love จากเสียงร้องของ มิเชลล์ บรานช์
ซานตาน่า เคยมาแสดงดนตรีในประเทศไทย 4 ครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ครั้งที่ 3 ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2011 และครั้งที่ 4 ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2013 โดยสามครั้งหลังจัดที่อิมแพค อารีนา เมืองธานี รวมทั้งแนวดนตรียังเป็นที่ชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจของ คาราบาว โดยทางวงได้ออกอัลบั้มพิเศษในปี ค.ศ. 1999 ชื่อชุด สไตล์ซานตานา กีตาร์ขี้เมา สามช่าลาติน และคาราบาวก็ได้ร่วมแสดงคอนเสิร์ตในการมาเยือนเมืองไทยครั้งที่สี่ของซานตาน่าด้วย
ชีวิตส่วนตัว หย่ากับภรรยาชาวอินเดียที่ชื่อ เดบอรา ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งทั้งคู่อยู่กินกันมานานถึง 39 ปี มีบุตรชาย 3 คน อีกทั้งมีมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสชื่อ Milagro ด้วย ก่อนที่จะแต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ซินดี้ แบล็คแมน ซึ่งเป็นมือกลองของวงในระหว่างการเล่นคอนเสิร์ต ในปี ค.ศ. 2010 โดยเป็นการขอแต่งงานบนเวที
 มือกีตาร์ชื่อดังได้มีโอกาสพบกับอดีตเพื่อนที่เคยตั้งวงดนตรีมาด้วยกันเมื่อสมัยยังวัยรุ่น แต่วันนี้กลับมีเส้นทางที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง เพราะขณะที่เขาเป็นนักดนตรีระดับโลก แต่เพื่อนคนนี้กลับไม่มีแม้แต่บ้านพักอาศัย และต้องใช้ชีวิตเป็นคนไร้บ้าน
       
       เรื่องราวการกลับมาพบกันของเพื่อนทั้งสองเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวพบชายไร้บ้านคนหนึ่ง ที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของ คาลอส ซานตานา จนทำให้เพื่อนทั้งสองคนได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังไม่เคยเจอกันมา 4 ทศวรรษ
       KRON-TV เปิดเผยว่าระหว่างผู้สื่อข่าว สแตนลี โรเบิร์ตส์ กำลังทำข่าวเรื่องการทิ้งขยะผิดกฎหมายในแถบซานฟรานซิสโก เขาได้พบกับชายไร้บ้านคนหนึ่งที่อ้างว่าตัวเองคือ มาร์คัส “เดอะ แม็คนิฟิเซนต์” มาโลน มือเปอร์คัสชันที่เคยร่วมวงกับ คาลอส ซานตานา มาแล้ว โดยเขาอ้างว่าตัวเองกับเพื่อนได้ตั้งวง Santana Blues Band ขึ้นมาด้วยกันที่โรงรถในบ้านแม่ของเขาเมื่อยุค 60s “ตอนนั้นผมเล่นดนตรีกับ ซานตานา ในวง Santana Blues Band ยุคดั้งเดิม แต่ตอนนี้ไม่มีบ้านอยู่ และอยู่ตามท้องถนน” เขากล่าว
       มาโลน เล่าว่าเขากับ ซานตานา ขาดการติดต่อกันไป เพราะเขาต้องโทษจำคุกในปี 1969 จนเมื่อได้รับอิสรภาพก็ไม่สามารถหางานทำได้ และต้องขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เพื่อยังชีพ
       ซึ่งผู้สื่อข่าวของ KRON-TV ได้พยายามตรวจเช็กเรื่องที่ได้รับฟังมาจากปากของ มาโลน จนสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง สุดท้ายจริงมีการนัดหมายให้เพื่อนเก่าทั้งสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ มาโลน ก็ยังยอมรับว่ารู้สึกประหม่ากับการเจอเพื่อนที่ตอนนี้เป็นตำนานแห่งวงการดนตรีไปแล้วนิดหน่อย
      “คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวแค่ไหน ที่จะมาเจอกันแบบนี้” มาโลน กล่าวกับ ซานตานา ก่อนที่ทั้งคู่จะสวมกอดกัน โดยมือกีตาร์ชื่อดังได้พูดกับเพื่อนว่า “เราจะดูแลคุณเอง เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้มาอยู่ต่อหน้าคุณแบบนี้”
       ซานตานา ยังให้สัมภาษณ์กับ CNN เขาจะช่วย มาโลน เท่าที่จะทำได้ โดยจะหาอพาร์ตเมนต์ และสิ่งของจำเป็นให้ นอกจากนั้นยังจะร่วมเขียนเพลงในอัลบั้มใหม่ด้วยกันด้วย “ผมอยากจะให้พี่น้องของผมคนนี้มาบันทึกเสียงเพลงในอัลบั้มใหม่ด้วยกัน กับ เกรก โรลี สมาชิกยุคบุกเบิกอีกคน เราเขียนเพลงให้เขาชื่อว่า Magnificent Marcus Malone เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และอยากให้เขาได้ร่วมเล่นด้วยจริงๆ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า สักช่วงเดือน ม.ค.หรือ ก.พ.ผมอยากจะหากลองคองกาให้เขาได้เล่นให้ชินมือก่อน เพราะเขาไม่ได้ตีกลองมานานมากแล้ว”

ที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%AA_%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2

สกอร์เปียนส์ (อังกฤษScorpions) วงดนตรีแนวเฮฟวี่เมทัลแห่งเยอรมัน ก่อตั้งวงที่เมืองฮันโนเวอร์ในปีค.ศ. 1965โดย Rudolf Schenker วงสกอร์เปียนส์เป็นวงดนตรีที่มีจำนวนสมาชิกคงที่ พวกเขาเป็นที่รู้จักของผู้ฟังช่วงทศวรรษที่ 1980 ด้วยเพลง "Rock You Like a Hurricane"และซิงเกิ้ลจำนวนมากเช่น "No One Like You", "Send Me an Angel", "Still Loving You", และ"Wind of Change" วงสกอร์เปีนส์ได้ถูกจัดอันดับเป็นอันดับที่46จาก VH1 ให้เป็นวงร็อคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเพลง "Rock You Like a Hurricane" ถูกจัดอันดับเป็นอันดับที่ 18 ของเพลงร็อคที่ยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อ 24 มกราคม 2010 หลังจาก 46ปีที่ทำงานในวงการดนตรี ก็ได้ประกาศอำลาวงการหลังจากมีการทัวร์อัลบั้มใหม่ของพวกเขาคือ Sting in the Tail และพวกเขามียอดขายอัลบั้ม 100ล้านแผ่นทั่วโลก ซึ่งแฟนเพลงในเมืองไทยได้ให้ฉายาว่า "ไอ้แมงป่องผยองเดช"

ประวัติ

ก่อตั้งวงและเริ่มวง (1965–1973)

Rudolf Schenker มือกีตาร์ของวงเปิดตัวในปีค.ศ. 1965 แต่เขาไม่ใช่ตำแหน่งร้องนำ กิจกรรมต่างๆเริ่มขึ้นปี 1969 Michael Schenker น้องของ Rudolf SchenkerและKlaus Meine นักร้องนำของวงมาเข้าร่วมในปี1972 ปีนั้นได้เปิดตัวอัลบั้มแรกของวงคือ Lonesome Crow โดยได้ Lothar Heimberg มาเล่นเบส และ Wolfgang Dziony มาเป็นมือกลอง ในช่วง ใกล้จบโลนซัมโครวทัวร์ วงUFO ของประเทศอังกฤษได้ขอให้ Michael Schenker ไปเล่นกีตาร์ให้กับวง Ulrich Roth เพื่อนของ Michael Schenker จึงมาเล่นกีตาร์แทนเขาในปี 1973 และได้ Francis Buchholz มาเล่นเบส , Achim Kirschning มาเล่นคีย์บอร์ด และJürgen Rosenthal มาเล่นกลอง

วงเริ่มมีชื่อเสียง (1974-1978)

ในปี 1974 สกอร์เปียนส์ออกอัลบั้ม Fly to the Rainbow ซึ่งประสบผลสำเร็จมากกว่าอัลบั้มแรก[1]และเพลง Speedy coming ทำให้วงมีชื่อเสียงขึ้น Achim Kirschning ตัดสินใจออกจากวง หลังจาก Jürgen Rosenthal เขาถูกเกณฑ์ทหารในกองทัพ ในปี 1975 เปิดตัวอัลบั้ม In Trance เป็นจุดเริ่มต้นของวงกับ Dierks Dieterโปรดิวเซอร์ของวงในระยะยาว ในปี 1976 เพลงเปิดตัวอัลบั้มVirgin Killerปกอัลบั้มที่โดดเด่น โดยใช้รูปการเปลือยกายของหญิงสาวในกระจกที่แตก ปกที่ถูกออกแบบโดย Stefan Bohle พวกเขาเป็นที่รู้จักจากผู้ฟังนอกทวีปยุโรปได้ด้วยอัลบั้มนี้ในปีต่อไป Lenners Rudy ลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัวและถูกแทนที่โดย Herman Rarebell และมีอัลบั้มต่อมาคือ Taken by Force ในปี 1977 และในปี 1978 ก็ได้ออกอัลบั้มTokyo Tapes กับการลาออกของ Ulrich Roth และถูกแทนที่โดย Matthias Jabs

ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ (1979-1991)

ในปี 1979 อัลบั้ม Lovedrive ก็ได้เปิดตัว พร้อมกับการกลับมาของ Michael Schenker ในระยะสั้นๆ ในปี 1980 ทางวงออกอัลบั้ม Animal Magnetism เพลงคลาสสิกที่มีอยู่ในอัลบั้มเช่น" The zoo "และ"Make It Real" หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มไปคอของ Klaus Meine เริ่มประสบปัญหาในลำคอ เขาจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดสายเสียงของเขาจนสามารถแล้วได้เหมือมเดิม ในปี 1982 วงก็ออกอัลบั้มBlackout มันเป็นที่ขายดีที่สุดของวง ในปี 1984 ไดเปิดตัวอัลบั้ม Love at First Sting ใช้เพลงเปิดตัวคือ "Rock You Like a Hurricane" หลังจากนั้นปี 1985 ทางวงได้จัดแสดงสดครั้งที่2คือ World Wide Live และในปี 1988 ได้ออกสตูดิโออัลบั้ม Savage Amusement และประสบผลสำเร็จแต่ทางวงถือว่าเป็นความผิดหวังที่สำคัญแต่ก็ทำให้วงขยายฐานคนฟังได้มากขึ้นและได้ Keith Olsen มาเป็นโปรดิวเซอร์คนใหม่ ในปี 1990 ก็ออกอัลบั้ม Crazy World เปิดตัวด้วยเพลง"Wind of Change" แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการเมืองที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออกและช่วงสงครามเย็น เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1990 ทางวงได้ร่วมจัดคอนเสริ์ต"The Wall" ในเบอร์ลิน

ช่วงต่อมา(1992-2009)

ในปี 1993ได้ออกอัลบั้ม Face the Heat ซึ่งประสบผลสำเร็จในระดับปานกลาง ในปี 1995 อัลบั้มใหม่ Live Bites ก็ถูกผลิต ในระหว่างการทัวร์ Face the Heat ในปี1996 ก็ได้ออกอัลบั้ม Pure Instinct และมือกลอง Herman Rarebell ก็ลาออกจากวงและถูกแทนที่โดย James Kottak ซึ่งเปิดตัวด้วยเพลง "You and I" ได้รับความสำเร็จในระดับปานกลาง ในปี 1999 ก็ปล่อยอัลบั้ม Eye II Eyeแต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ ในปี 2000 ก็ปล่อยอัลบั้ม Moment of Glory ซึ่งความนิยมของวงก็แผ่วลง ในปี 2001 สกอร์เปียนส์ได้ออกอัลบั้ม Acoustica ซึ่งนำความนิยมของวงกลับมาได้อย่างมาก ในปี 2004 ก็ออกอัลบั้ม Unbreakable ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงมากมาย ในปี 2007 ออกอัลบั้ม Humanity - Hour 1 ใช้เพลง"Humanity" เปิดตัวและการทัวร์

อัลบั้มใหม่และการอำลาวงการ(2010 -ปัจจุบัน)

ในเดือนพฤศจิกายน 2009 Scorpions ประกาศว่าสตูดิโออัลบั้มที่ 17 ของพวกเขา Sting in the Tail เปิดตัวในปี 2010 ที่บันทึกไว้ในฮันโนเวอร์กับสวีเดนผลิตโดย Mikael"Nord"Andersson และ Martin Hansen Sting ปล่อยในวันที่ 23 มีนาคม 2010 เมื่อมกราคม 24, 2010, วงที่ประกาศว่า Sting in the Tail อัลบั้มชุดล่าสุดของพวกเขาและทัวร์สุดท้ายของพวกเขา คาดว่าจะจบในปี 2012 หรือ 2013 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2010 Scorpions ได้ประทับรอยมือที่ HollywoodของRock Walk ในพิธี handprint ตามที่มือเบสของวง Scorpions Paweł Mąciwoda จะเข้าสู่สตูดิโอในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2011 ที่จะบันทึกอัลบั้มใหม่จุดเริ่มต้นนี้คือคอลเลกชันย้อนยุคคร่าวๆเนื่องจากการปล่อยในช่วงต้นปี 2012 คืออัลบ้มComeblack ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7พฤศจิกายน 2011
ที่มาhttps://www.google.co.th/search?q=scorpion&espv=2&biw=1366&bih=624&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=g6cXVdLtIo78ugTykYDIDg&ved=0CAcQ_AUoAg&dpr=1#tbm=isch&q=%E0%B8%A7%E0%B8%87scorpion&imgdii=_&imgrc=KOPSO5jLwaGisM%253A%3Bg2LBOJVz5KUyjM%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.manager.co.th%252Fasp-bin%252FImage.aspx%253FID%253D1789835%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.manager.co.th%252FiBizChannel%252FViewNews.aspx%253FNewsID%253D9540000009982%3B400%3B369
ประวัติวงเมทัลลิก้า (Metallica)

ช่วงแรกเริ่ม (1981–1983) Metallica 
เริ่มก่อตั้งวงในช่วงปลายปี 1981 ที่เมือง Los Angeles รัฐCalifornia โดยที่ Lars Ulrich มือกลองของวงได้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ The Recycler เพื่อหาสมาชิกวงดนตรีในแนวเมทัล ต่อมาก็ได้นักดนตรี James Hetfield , Hugh Tanner และ Leather Charm ตอบรับเข้ามาก่อตั้งวงดนตรีแนวเมทัลขึ้นมา พวกเขาได้เจรจากับค่าย Metal Blade Records ว่า ถ้าทางวงจัดทำอัลบั้มเพลงชุด Metal Massacre ทางค่ายจะยอมให้บันทึกเสียงหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าของค่ายก็ตอบรับมาว่า ให้บันทึกเสียงได้ ดังนั้น วงMetallica จึงได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 1981 นับเป็นเวลา 5 เดือนหลังจากที่ Ulrich มือกลอง ได้พบกับ Hetfield เป็นครั้งแรก Ulrichเป็นผู้ตั้งชื่อวงว่า Metallica และต่อมาตัวเขาก็ได้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ฉบับเดิมว่าต้องการมือกีต้าร์ลีดซึ่ง Dave Mustaine ได้ตอบรับเข้าร่วมวง Metallica ในช่วงต้นปี 1982 พวกเขาได้เริ่มบันทึกเสียงอัลบั้ม Metal Massacre โดยอัลบั้มชุดนี้ได้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1982 ซึ่งมีการพิมพ์ชื่อวงเพี้ยนไปเป็น Mettallica ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทางวงพอสมควร ต่อมาพวกเขาได้มือเบสคนใหม่ชื่อว่า Ron McGoverney ต่อมา Ulrich และ Hetfield ได้ตระเวนเล่นดนตรีสดตามผับภายใต้ชื่อวง Trauma ทำให้พวกเขาได้พบกับ Cliff Burton และได้ชักชวนให้มาร่วมวง Metallica ซึ่งทาง Hetfield และ Mustiane ต้องการให้ Burton มาเล่นเบสแทนที่ McGovney เพราะว่าทั้งสองคนเห็นว่า McGovney ไม่ได้ช่วยคิดผลงานอะไรออกมาเลย ทำแต่เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ต่อมา Burtonได้เข้าร่วมวงและได้ชักชวนสมาชิกในวงคนอื่นๆให้อพยพไปยังบริเวณปากอ่าว San Francisco โดยทาง Burton ได้มีส่วนร่วมกับการบันทึกเสียง Demo ชุด Megaforce ในปี 1983 ด้วย ต่อมาพวกเขาทั้งหมดได้เตรียมพร้อมที่จะทำการบันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของพวกเขาแต่ทางค่ายเพลงต้นสังกัดที่เคยให้สัญญาไว้นั้นไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายได้ครบตามจำนวน ซึ่งทางวงเองก็ไม่มีเงินมากพอ สุดท้าย ทาง Johny Zazula ผู้จัดการงานคอนเสิร์ตจึงได้จับพวกเขาเซ็นสัญญาภายใต้สังกัดของ Megaforce Records ซึ่งเป็นค่ายเพลงของ Zazula เองและยังออกเงินค่าใช้จ่ายในการบันทึกเสียงให้กับทางวงอีกด้วย 

Kill 'Em All and Ride the Lightning (1983–1984) 
ในเดือนเมษายน 1983 ทางวงได้ไล่ Mustaine ออกจากวงไปเนื่องจากเขาติดยาและแอลกอฮอล์รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ต่อมาในวันเดียวกับที่ไล่ Mustaine ออกไป Metallica ก็ได้มือกีต้าร์คนใหม่ที่ชื่อ Kirk Hammett  ต่อมาMustaineได้ก่อตั้งวง Megadeth ขึ้นมา และได้กล่าวโจมตีว่า Kirk เป็นคนขโมยงานของเขาไป ต่อมาทางวง Metallica ได้ออกสตูดิโออัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อว่า Kill ‘Em All โดยอยู่ภายใต้สังกัด Megaforce Records ซึ่งผลงานอัลยั้มชุดนี้ติดอันดับที่ 120 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยในปี 1988 ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายแต่พวกเขาก็ได้สร้างกลุ่มแฟนคลับของวงขึ้นมาเพื่อเป็นบานสนับสนุนผลงานเพลงของพวกเขาแล้ว พวกเขายังเริ่มต้นออกทัวร์ทั้งในสหรัฐอเมริกาและฮอลแลนด์ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ในปี 1984 เมทัลลิก้าเริ่มเข้าอัดเพื่อบันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มชุดที่สองของพวกเขาที่มีชื่อว่า Ride The Lightning โดยทำการบันทึกเสียงที่สตูดิโอ Sweet Silence Studio ในกรุงโคเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ก ผลงานชุดนี้ได้ถูกวางจำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1984 และทำผลงานติดอันดับที่ 100 ในชาร์ต Bilboard 200 ซึ่งอัลบั้มชุดนี้มีเพลงดังๆเช่น For Whom The Bell Tolls , Fade To Black , Creeping Death เป็นต้น พวกเขาได้ทำการออกทัวร์ไปกับวงดังๆทั่วยุโรป ซึ่งได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงอย่างล้นหลาม คอนเสิร์ตของพวกเขาในหลายๆครั้งมีผู้ชมเข้าชมถึง 70000 (เจ็ดหมื่น) คน ซึ่งพวกเขาได้ทำการแสดงสดร่วมกับวง Bon Jovi และ Ratt

Master of Puppets (1984–1986)
สตูดิโออัลบั้มชุดที่สามมีชื่อว่า Master of Puppets ได้ทำการวางแผงเมื่อเดือนมีนาคม 1986 อัลบั้มชุดนี้ไต่ชาร์ตBilboard 200 ขึ้นไปถึงอันดับที่ 29 และติดอยู่ในชาร์ตนานถึง 72 สัปดาห์ พวกเขาได้รับรางวัล Gold เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1986 และได้รับรางวัล Platinum ถึง 6 ครั้ง ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งรางวัลและยอดขาย ในวันที่ 27 กันยายน 1986 วงเมทัลลิก้าได้สูญเสียมือเบส Cliff Burton ไปอย่างไม่มีวันกลับเนื่องจากเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำในช่วงระหว่างการออกทัวร์ในยุโรป โดยที่ศพของเขาถูกพบอยู่ใต้ซากรถบัสที่เกิดอุบัติเหตุนั่นเอง ซึ่งสมาชิกคนอื่นๆในวงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังความโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งให้กับสมาชิกภายในวงคนอื่นๆ รวมทั้งบรรดาแฟนเพลงทั้งหลายด้วย ต่อมาทางวงได้ตัว Jason Newsted ซึ่งเป็นเพื่อนรักของ Burton ในวัยเด็กมาทำหน้าที่มือเบสแทน ทางวงได้ออกอัลบั้มผลงานแบบ E.P. มา 1 ชุด ภายใต้ชื่ออัลบั้มว่า Garage Days Re-Revisited 

And Justice For All (1988-1990)
ในปี 1988 เมทัลลิก้าได้ปล่อยผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ของพวกเขาออกมาโดยมีชื่อว่า And Justice For All ผลงานชุดนี้ไต่อันดับขึ้นไปติดที่ 6 ในชาร์ต Bilboard 200 ได้อย่างสง่างาม และได้รับรางวัล Platinumอีกด้วย 
Metallica (1990-1993)
หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า The Black Album สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 นี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามด้วยยอดขายสูงถึง 650000 ชุดในสัปดาห์แรก และยังขึ้นไปถึงอันดับที่ 1 ในชาร์ต Bilboard 200 ด้วย พวกเขาออกทัวร์ไปทั่วโลกซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น 14 เดือน รวมทั้งการออกทัวร์ร่วมกับวงในตำนานอย่าง Gun’n Roses และ Slayer

Load and Reload (1994-1999)
หลังจากการออกทัวร์ซึ่งกินเวลายาวนานเกือบ 3 ปี Metallica ก็ได้เริ่มต้นเข้าสตูดิโอเพื่อบันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ที่มีชื่อว่า Load ซึ่งออกจำหน่ายในปี 1996 เพียงแค่สัปดาห์แรกเท่านั้น อัลบั้มชุดนี้ก็ก้าวขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต Bilboard 200 และชาร์ต ARIA อย่างไรก็ตาม ด้วยงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเพียงพอทำให้ทางวงตัดสินใจผลิตผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 ของพวกเขาออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันภายใต้ชื่อว่า Reload อัลบั้มชุดนี้ได้ออกวางจำหน่ายในปี 1997 และแน่นอนว่าผลงานชุดนี้ยังคงรักษาความยอดเยี่ยมด้วยการติดอันดับที่ 1 ในชาร์ต Bilboard 200 เช่นเดิม และยังติดอันดับที่ 2 ของ The Top Canadian Album Chart อีกด้วย พวกเขาออกทัวร์ไปทั่วโลกอีกครั้งเพื่อโปรโมตสตูดิโออัลบั้มทั้งสองชุดซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆทั่วโลก

St.Anger (2001-2005)
หลังจากที่ว่างเว้นการออกสตูดิโออัลบั้มไปนานเพื่อออกทัวร์  ในวันที่ 17 มกราคม 2001 Jason Newsted มือเบสของวงได้ลาออกจากสมาชิกของวง Metallica ด้วยเหตุผลส่วนตัวและเรื่องของสุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่ลงทุกวันและ Newsted ยังต้องทำงาน Side Project ให้กับวง Echobrain ด้วย ทาง Hetfield จึงคิดว่าการที่สมาชิกในวงนั้นมี Side Project จะเป็นการลดความมั่นคงต่อทางวง Metallica เอง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ได้เข้าห้องอัดเพื่อเริ่มบันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8 ภายใต้ชื่อว่า St. Anger และหลังจากบันทึกเสียงเสร็จสิ้น ทางวงMetallicaได้มือเบสคนใหม่ที่ชื่อ Robert Trujillo ซึ่งเคยเล่นเบสให้กับป๋าออสซี่ ออสบอร์นและวง Suicidal Tendenciesมาแล้ว เดือนมิถุนายน ปี 2003 สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8 ของพวกเขาที่มีชื่อว่า St. Anger ได้ออกวางจำหน่ายไปทั่วโลก สัปดาห์แรกเท่านั้นก็ทะยานขึ้นอันดับที่ 1 ในชาร์ต Bilboard 200 แต่กระนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบพอสมควรเกี่ยวกับซาวน์ดนตรีในอัลบั้มชุดนี้ถึงแม้ว่าจะได้รับรางวัลมากมายก็ตาม พวกเขาออกทัวร์รอบโลกอีกครั้งและจบลงด้วยการแสดงสดเพื่อเป็นวงเปิดให้กับวง The Rollong Stone ที่ AT&T Park ในซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2005

Death Magnetic (2006-2010)
ในเดือนธันวาคม 2006 Metallica ได้ออกแผ่น DVD บันทึกMVของทางวงตั้งแต่ปี 1989-2004 ต่อมาพวกเขาได้ทำงานร่วมกับ Rick Rubin โปรดิวเซอร์ผู้เคยทำงานให้กับวงดังๆมากมายเช่น Slipknot , Slayer และ System Of A Down ซึ่งสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 นี้มีชื่อว่า Death Magnetic ได้ทำการวางแผงออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2008 เพียงแค่สัปดาห์แรกของการวางแผงอัลบั้มชุดนี้ก็พุ่งทะยานขึ้นอันดับ1 ในชาร์ต Bilboard 200 อีกครั้ง นับเป็นวงแรกที่มีผลงานสตูดิโออัลบั้มติดอันดับ 1 ในชาร์ต Bilboard 200 ติดต่อกัน 5 อัลบั้ม และทำยอดขายได้ถึง 490000(สี่แสนเก้าหมื่น)ชุดในสัปดาห์แรกเช่นกัน อัลบั้มชุดนี้ติดอันดับ 1 ของชาร์ต Bilboard 200 นานถึง 3 สัปดาห์ พวกเขาออกทัวร์รอบโลกอีกครั้งจนกระทั่ง ปี 2010 พวกเขาจึงเริ่มหยุดพักการทัวร์ไว้

สำหรับสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 10 ของพวกเขานั้น ทาง Lars Ulrich มือกลองของวงได้ออกมายืนยันแล้วว่าใน ปี 2011 นี้พวกเขาจะเริ่มต้นเรียบเรียงเพลงใหม่ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะได้ฟังกันเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังมีงานออกทัวร์รอบโลกในคอนเสิร์ตใหญ่ๆมากมายร่วมกับวงดังอย่าง Slipknot 


ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/เมทัลลิก้า

กรีนเดย์ (อังกฤษ: Green Day) เป็นวงร็อกจากอเมริกา เริ่มก่อตั้งวงในปี 1987 โดยสมาชิก 3 คนคือ Billie Joe Armstrong (กีตาร์, ร้องนำ), Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง)
มียอดขายอัลบัมทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านชุด รวมถึง 22 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลแกรมมี่ 3 ครั้งสาขา Best Alternative Album จากอัลบัม Dookie, Best Rock Album จากอัลบัม American Idiot, และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams"
ประวัติ
บิลลีและไมก์เจอกันแล้วร่วมกันตั้งวงชื่อ Sweet Children ขึ้นมาตอนอายุสิบขวบ (1982) ก็เล่นกันมาเรื่อย ๆ แต่ว่ายังไม่มีมือกลอง ตอนปี 1987 ก็มี John Kriftmeyer มาเป็นมือกลอง Sweet Children สถานที่ที่เล่นเป็นทางการครั้งแรกคือ Rod's Hickory Pit ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็เล่นตามผับ ตามร้านอาหารเรื่อยมา
หลังจากที่เปลี่ยนชื่อเป็นกรีนเดย์แล้ว กรีนเดย์ทำอีพีแรกคือ 1,000 Hours ตอนช่วงชีวิตมัธยม ไมก์เรียนจบ บิลลีพักการเรียนไว้ อัลบัมเปิดตัวครั้งแรกในปี 1990 คือ 1039 Smoothed Out Slappy Hours เป็นการนำเอาอีพีที่ทำไว้มารวมกัน ออกกับค่ายอินดี้อย่าง Lookout! Records หลังจากนั้นมือกลองก็ขอลาออกจากวงไปเรียนต่อ ไมก์และบิลลีจึงจัดการทาบทามมือกลองของวง The Lookout ! ซึ่งก็คือ Tre cool มือกลองคนปัจจุบัน tre เปิดตัวในฐานะหนึ่งในสมาชิกในอัลบัมที่สอง คือ Kerpunk
หลังอัลบัมที่สอง ก็มีการออกแสดงขึ้น Rob Cavallo ค่าย Reprise Records ได้สนใจจากการเห็นการเล่นสด และติดต่อไป กรีนเดย์จึงตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย อัลบัมที่ออกกะค่ายนี้คือ Dookie เพลงในอัลบัมนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นระหว่างการออกแสดงดนตรีเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Dookie ออกวางจำหน่าย กรีนเดย์กลายเป็นที่รู้จักกันในนามวงร็อกมากด้วยพลังและสติไม่เต็ม มียอดขายได้มากกว่าสิบล้านแผ่น (เฉพาะในอเมริกา) กรีนเดย์ชนะรางวัลแกรมมี่ในปี 1994 สาขา Best Alternative Music Performance
อัลบัมที่ตามมาก็คือ Insomniac กับ Nimrod เพลงที่ประสบความสำเร็จคือเพลง Good Riddance (Time of Your Life) สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว กรีนเดย์ตัดสินใจพักงานเพลงสองปี ในปี 2000 กรีนเดย์โจมตีวงการเพลงอีกครั้งด้วยอัลบัม Warning และด้วยเสียงเพลงที่ต่างจากอัลบัมอื่น ๆ เลยทำให้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจากนักวิจารณ์และแฟนเพลงมากนัก เพลงที่โดนโจมตีมากที่สุดก็คือ Minority
หลังสี่ปีที่ไม่มีอัลบัมใหม่ออกมา จะมีก็แค่ทัวร์เล็กๆ น้อยๆ กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิล American Idiot ที่โจมตีรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2004 อัลบัม American Idiot ขึ้นที่หนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ตและก็ชาร์ตต่างๆ มากมายอีกทั่วโลก กรีนเดย์ถูกเสนอชื่อเข้าชิง เจ็ดสาขาของแกรมมี่อวอร์ต และที่ได้รับรางวัลคือ คือ Best Rock Album และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams"
ห้าปีต่อมาหลังจากออกอัลบัมAmerican Idiotและได้ผลิตผลงานใหม่ในชื่อว่า 21st Century Breakdownเป็นเพลงแนว"Rock opera"ตามอัลบัม American Idiotและเป็นครั้งแรกที่ในการร่วมมือทำผลงานกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง Butch Vig และได้เริ่มบันทึกเสียงทำผลงาน เดือนมกราคม ในปี 2006 และ 45 เพลงได้แต่งเพลงโดย สมาชิกในวง ต่อมาในเดือนตุลาคม ปี 2007 แต่สมาชิกวงและโปรดิวเซอร์ไม่ได้เข้ามาทำงานสตูดิโอจนถึง มกราคม 2008 และต่อมาก็เริ่มทำงานอย่างจริงจังและเริ่มบันทึกเสียงอีกครั้งในช่วง 3-4 ปี บันทึกเสียงสตูดิโอที่แคลิฟอร์เนียจนทำผลงานสำเร็จที่ในเดือนเมษายน ปี2009
กรีนเดย์เคยมาเปิดแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 ณ เอ็มบีเค ฮอลล์ และครั้งที่สองในชื่อ ทเวนตีเฟิสต์เซนเชอรีเบรกดาวน์ทัวร์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี
ล่าสุดทางวงได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rock Album ในงานประกาศรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 52 จัดขึ้นที่ สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี 2010
ในปี 2012 เจสัน ไวต์ได้เป็นสมาชิกคนที่ 4 ของวง หลังจากออกแสดงคอนเสิร์ตกับวงนี้มานาน 13 ปี
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/กรีนเดย์

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

เนอร์วานา (Nirvana) เป็นวงที่ทำเพลงแนวกรันจ์ และอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก เริ่มตั้งวงเมื่อปี 1987 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และยุบวงในปี 1994 เมื่อ เนอร์วานา ออกอัลบั้ม Nevermind ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 2 ในปี 1991 ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เปลี่ยนไป เพราะ เนอร์วานา ทำให้แนวเพลงพังค์ร็อก โพสท์พังค์ และอินดี้ร็อกได้รับความนิยมในตลาดหลักของอเมริกา อย่างที่ไม่เคยมีวงใดทำได้มาก่อน

ซิงเกิ้ล "สเมลส์ไลก์ทีนสปิริต" (Smells Like Teen Spirit) เป็นซิงเกิ้ลเพลงเดียว ของอัลบั้ม เนเวอร์ไมล์ และของวงนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงกับวัยรุ่นในช่วงนั้น และเป็นการประสบความสำเร็จ อย่างที่ไม่คลาดคิดมาก่อนว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ จึงถูกขนานนามโดยพวกวัยรุ่นสมัยนั้นว่า เป็น "เพลงชาติของเด็กไม่แยแส" ซิงเกิ้ลนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นเพลงประจำวงนี้ไปโดยปริยาย

เนอร์วานา ประสบความสำเร็จ ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 25 ล้านแผ่น และกว่า 75 ล้านแผ่นทั่วโลก



เคิร์ท โคเบน (ร้องนำ, กีต้าร์) พบกับคริส โนโวเซลิก (มือเบส) ในปี 1985 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้เมืองเล็ก ๆ ห่างจากซีแอ็ทเทิล 100 ไมล์ ภูมิหลังของ คริสราบเรียบกว่าเคิร์ท เพราะตอนอายุ 8 ปีเคิร์ทต้องเผชิญกับปัญหาจากการหย่าร้าง ของบิดามารดา หลังจากทั้งคู่หย่ากันแล้ว เคิร์ทก็ต้องเวียนไปอยู่ตามบ้านญาติ เขาชอบเพลงของเดอะ บีทเทิ้ลส์ จากนั้นก็หันมาชอบเพลง เฮฟวี่เมทัล ในที่สุดเคิร์ท ก็หลงรักเพลง ฮาร์ดคอร์พังค์ ทั้งยังได้พบกับวงThe Melvins ซึ่งเป็นวงเฮฟวี่พังค์อันเดอร์กราวด์ ต่อมา เคิร์ทก็เริ่มเล่นดนตรีให้วงพังค์อย่าง Fecal Matter โดยส่วนใหญ่จะไปกับเดล โครเวอร์ มือเบสของ The Melvins บัซซ์ ออสบอร์น หัวหน้าวง The Melvins แนะนำให้เคิร์ท รู้จักกับคริส โนโวเซลิก ซึ่งสนใจดนตรีพังค์เช่นกัน การสนใจแนวเพลงพังค์ ทำให้ทั้งเคิร์ทกับคริสรู้สึกแปลกแยก จากคนส่วนใหญ่ในอาเบอร์ดีน ที่เป็นคนงาน ทั้งคู่จึงตัดสินใจ ตั้งวงชื่อว่า The Stiff Woodies โดยเคิร์ท เป็นมือกลอง คริสเป็นมือเบส ส่วนตำแหน่งกีต้าร์ กับร้องนำนั้น มีหลายคนสลับสับเปลี่ยนกันไป จนในที่สุดเคิร์ทก็เล่นกีต้าร์และร้องเอง หลังจากเปลี่ยนชื่อวงเป็น Skid Row วงของเคิร์ท ก็มีสมาชิกทั้งหมดเป็น 3 คน ผู้ที่มาเพิ่มคือ แอรอน เบิร์คฮาร์ท มือกลอง แต่พอถึงปี 1986 แอรอนก็ออกจากวง ผู้ที่มาแทนคือแช้ด แชนนิ่ง ต่อมาในปี 1987 Skid Row ก็เปลี่ยนชื่อเป็น เนอร์วานา เนอร์วานา เริ่มจากการเล่นดนตรี ตามงานเลี้ยง ในเมืองโอลิมเปีย จนมีแฟนเพลงกลุ่มใหญ่พอควร

ในปี 1987 เนอร์วานา ทำเดโมเทป 10 ม้วน กับโปรดิวเซอร์ แจ็ค เอ็นดิโน่ ซึ่งได้นำเทปตัวอย่างไปเสนอ โจนาธาน โพนแมน หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัทแผ่นเสียงอิสระ ในซีแอ็ทเทิล ชื่อ Sub Pop ในที่สุดเนอร์วานา ก็ได้เซ็นสัญญาบริษัท และเดือนธันวาคม ปี 1988 เนอร์วานา ก็ออกซิงเกิลแรก เป็นเพลงเก่าของวง Shocking Blue ชื่อ Love Buzz ค่าย Sub Pop วางแผนการตลาด โดยให้สร้างภาพให้ เนอร์วานา เป็นวงหลังเขาจากเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งทำให้เคิร์ท กับคริสไม่พอใจ เพลง Love Buzz ได้รับการยอมรับพอสมควร แต่ผลงานที่ทำให้ เนอร์วานา เป็นที่รู้จักคืออัลบั้ม Bleach ซึ่งใช้เงินในการบันทึกเสียงกว่า 600 เหรียญเท่านั้น แต่เมื่อออกขายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1989 Bleach ก็ค่อย ๆ ฮิตตามสถานีวิทยุมหาวิทยาลัย เนื่องจาก เนอร์วานา ออกทัวร์คอนเสิร์ตสม่ำเสมอ แม้ในปกอัลบั้ม Bleach จะระบุชื่อมือกีต้าร์คนที่ 2 ไว้ว่าเป็น เจสัน เอฟเวอร์แมน แต่เขาไม่ได้ร่วมบันทึกเสียงด้วยเลย เจสัน เพียงแต่ออกทัวร์คอนเสิร์ตเท่านั้น ก่อนจะออกจากวงไปในช่วงปลายปี เพื่อไปอยู่กับวง Soundgarden และ Mindfunk อัลบั้ม Bleach ขายได้ถึง 35,000 ชุด และ เนอร์วานา ก็ได้รับความนิยมจากสถานีวิทยุตามมหาวิทยาลัย และ นิตยสารดนตรีในอังกฤษ นอกจากนี้ วง Sonic Youth Mudhoney และ Dinosaur Jr. ก็ชื่นชม เนอร์วานา ด้วย ทำให้ค่ายเทปใหญ่ ๆ หันมาสนใจ เนอร์วานา ในช่วงฤดูร้อน เนอร์วานา ออกซิงเกิล Sliver กับ Dive ซึ่งมีแดน ปีเตอร์สจากวง Mudhoneyมาเล่นกลองให้ ส่วนโปรดิวเซอร์คือ บุช วิค นอกจากจะบันทึกเสียง เพลงทั้งสองกับวิคแล้ว เนอร์วานายังทำเดโมเทปอีก 6 เพลงกับวิคด้วย เดโมชุดนี้ ไปถึงมือค่ายยักษ์ซึ่งแย่งกัน เซ็นสัญญากับ เนอร์วานา

Nevermind
ปลายฤดูร้อน เดฟ โกรลห์ อดีตสมาชิกวง Scream วงแนวฮาร์ดคอร์จากวอชิงตันดีซี ก็เข้ามาเป็นมือกลองของ เนอร์วานา หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับค่ายดีจีซีด้วยค่าตัว 287,000 เหรียญ เนอร์วานา บันทึกเสียงอัลบั้มที่ 2 กับวิค จนเสร็จในฤดูร้อนปีนั้นเอง ช่วงปลายฤดูร้อน หลังจาก เนอร์วานา ออกทัวร์คอนเสิร์ตกับ Sonic Youth พวกเขา ออกอัลบั้มชุดที่ 2 ในเดือนกันยายน ชื่อ Nevermind หลังออกอัลบั้ม เนอร์วานา ก็ออกทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาทันที ค่ายดีจีซี ต้นสังกัดของ เนอร์วานา ตั้งเป้าว่า Nevermind จะขายได้ประมาณ 100,000 ชุด แต่ปรากฏว่า Nevermind ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขายชุดแรกจำนวน 50,000 แผ่นได้ในเวลาไม่นาน จนขาดตลาดทั่วอเมริกา เพลงที่ช่วยให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จคือ Smells Like Teen Spirit เพลงร็อก 4 คอร์ดที่มีการนำ มิวสิก วิดีโอ ออกกระหน่ำฉายทางเอ็มทีวี ต้นปี 1992 เพลง Smells Like Teen Spirit ก็ขึ้นถึงท็อป 10 ในอเมริกา และ Nevermind ก็ทำให้อัลบั้ม Dangerous ที่สร้างชื่อให้ ไมเคิล แจ็คสัน อีกครั้ง ต้องตกจากอันดับที่ 1 นอกจากนี้ Nevermind ยังติดท็อป 10 ที่อังกฤษหลังจากนั้นไม่นานด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ Nevermind ก็ได้แผ่นเสียงทองคำขาวถึงสามแผ่น ความสำเร็จของ เนอร์วานา เป็นเรื่องน่าประหลาดใจในวงการเพลง พวกเขาเองก็แปลกใจเช่นกัน เนื่องจากปัญหาส่วนตัวของ เคิร์ท โคเบน ตกเป็นข่าวไปทั่ว เนอร์วานา จึงบันทึกเสียงอัลบั้มต่อจาก Nevermind ไม่ได้จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิปี 1993 ในช่วงที่หยุดไป ดีจีซี ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงของ เนอร์วานา ชื่อว่า Incesticide ในช่วงปลายปี 1992 อัลบั้มนี้ ขึ้นถึงอันดับ 39 ในอเมริกา และอันดับ 14 ในอังกฤษ ผลงานอีกชิ้นที่ออกมาก่อนออกอัลบั้มที่ 3 คือซิงเกิลที่ เนอร์วานา ร่วมทำกับวง The Jesus Lizard ที่ชื่อ Oh, The Guilt โดยซิงเกิลนี้ มีค่าย ทัชแอนด์โก เป็นต้นสังกัด ในอัลบั้มที่ 3 เนอร์วานา เลือกสตีฟ อัลบินี่ โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานกับ Pixies BreedersBig Black และจJesus Lizard มาเป็นโปรดิวเซอร์

In Utero
อัลบั้ม In Utero ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 3 ของ เนอร์วานา ออกมาในฤดูใบไม้ผลิ 1993 หลังทำอัลบั้มนี้เสร็จ เนอร์วานา ก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวอีกครั้ง เคิร์ทเสพย์เฮโรอีนเกินขนาด ในวันที่ 2 พฤษภาคม แต่ข่าวนี้ถูกปิดไว้ เดือนต่อมา คอร์ทนีย์เรียกตำรวจไปที่บ้านในซีแอ็ทเทิ่ล หลังจากเคิร์ท ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ และขู่จะฆ่าตัวตาย ก่อนออกอัลบั้ม In Utero เคิร์ทเคยเสพย์ยาเกินขนาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ใน งานสัมมนาดนตรีแนวใหม่ที่ห้องโรสแลนด์บอลรูมในนิวยอร์ก ในเดือนกรกฎาคม ช่วงนั้นเอง เริ่มมีข่าวในนิวสวีค และสื่ออื่น ๆ ว่าดีจีซีไม่พอใจอัลบั้มใหม่ ทั้งยังกล่าวหา เนอร์วานา ว่าตั้งใจออกอัลบั้ม ไม่ให้ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ทางวง และต้นสังกัดปฏิเสธข่าวดังกล่าว แต่ต่อมา เนอร์วานา ตัดสินใจปลด สตีฟ อัลบินี่ เพราะเห็นว่า ผลงานของสตีฟเรียบเกินไป และดึง สก็อต ลิทท์ โปรดิวเซอร์ของ R.E.M.มาปรับปรุงเพลง In Utero ออกวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 1993 และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ทั้งยังทำยอดขายช่วงแรกได้ดี ทำให้เข้าอันดับเป็นอันดับ 1 ทั้งในอังกฤษ และอเมริกา เนอร์วานา ออกคอนเสิร์ตในอเมริกา เพื่อโปรโมตอัลบั้มชุดนี้ โดยได้จ้าง แพ็ท สเมียร์ อดีตมือกีต้าร์วง Germs มาช่วยเล่นกีต้าร์เสริม แม้ตัวอัลบั้ม กับการแสดงคอนเสิร์ต จะประสบความสำเร็จ แต่ยอดขายกลับไม่สูงอย่างที่คาดไว้ การแสดงสดหลายครั้งขายบัตรได้ไม่มาก ต้องรอจนถึงสัปดาห์ที่มีการแสดง จึงขายหมด ด้วยเหตุนี้ เนอร์วานา จึงยอมรับปากเล่นคอนเสิร์ตแบบอะคูสติกที่ชื่อ Unplugged ของเอ็มทีวีตอนปลายปี

การตายของเคิร์ท โคเบน
หลังจากคอนเสิร์ตของเอ็มทีวีครั้งนี้ ออกอากาศในเดือนธันวาคม ยอดขาย In Utero ก็สูงขึ้น หลังจบการทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มกราคม 1994 ที่เซ็นเตอร์ อารีน่าในซีแอ็ทเทิ่ล เนอร์วานา ก็เริ่มทัวร์คอนเสิร์ตในยุโรปในเดือน กุมภาพันธ์ หลังจากแสดงคอนเสิร์ตในมิวนิควันที่ 29 กุมภาพันธ์ เคิร์ทก็อยู่ที่กรุงโรมกับคอร์ทนีย์ต่อ เพื่อพักผ่อน วันที่ 4 มีนาคม เมื่อคอร์ทนีย์ตื่นมาก็พบว่า เคิร์ทพยายามฆ่าตัวตาย โดยทานยาโรฟีนอล ซึ่งเป็นยานอนหลับพร้อมกับแชมเปญ แม้ข่าวจะออกมาว่า เคิร์ทไม่ได้ตั้งใจฆ่าตัวตาย แต่สมาชิกวง เนอร์วานา ทราบดีว่า เคิร์ททิ้งจดหมายลาตายไว้หลังอยู่โรงพยาบาล 1 สัปดาห์ เคิร์ทก็กลับซีแอ็ทเทิ่ล สุขภาพจิตของเขาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ในวันที่ 18 มีนาคม ตำรวจต้องกล่อมให้เคิร์ท เลิกคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาขังตัวเองไว้ในห้อง และขู่จะฆ่าตัวตาย คอร์ทนีย์ กับผู้จัดการวง เนอร์วานา จัดการให้เคิร์ท เข้ารับการบำบัดที่ศูนย์บำบัดเอ็กโซดัส ในลอสแอนเจลิส เมื่อวันที่ 30 มีนาคม แต่เคิร์ทก็หนีออกมาได้ในวันที่ 1 เมษายน แล้วกลับไปซีแอ็ทเทิ่ล มารดาของเคิร์ท แจ้งความว่าเคิร์ทหายไปในวันที่ 4 เมษายน ในวันที่ 5 เคิร์ทก็ยิงศีรษะตนเองที่บ้านในซีแอ็ทเทิ่ล แต่ยังไม่มีใครพบศพ จนกระทั่งวันที่ 8 เมษายน เมื่อช่างไฟที่ไปติดตั้งระบบสัญญาณเตือน ที่บ้านของเคิร์ท ไปสะดุดร่าง ของเขาเข้า

หลังเสียชีวิต เคิร์ท โคเบน กลายเป็นเสมือนกระบอกเสียง ของคนรุ่นเจนเนอเรชั่น เอกซ์ ทันที ทั้งยังกลายเป็น สัญลักษณ์ของความทรมาน และความกดดัน ของคนรุ่นนี้

หลังการตายของเคิร์ท
คริส โนโวเซลิก กับเดฟ โกรลห์ วางแผนจะออกอัลบั้มซีดีแผ่นคู่ รวมการแสดงสดในช่วงปลายปี 1994 แต่การเลือกเพลงจากเทป ทำให้ทั้งสองเจ็บปวดมาก ดังนั้นจึงมีการนำเพลงในรายการ MTV Unplugged in New York มาออกแทน อัลบั้มนี้เป็นอันดับ 1 ตั้งแต่เข้าอันดับ ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ในปี 1996 ก็มีการออกอัลบั้ม From The Muddy Banks Of The Wishkah ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา ในสัปดาห์แรกที่เข้าอันดับ

หลังจากเคิร์ท โคเบนเสียชีวิต เดฟ โกรลห์ก็ตั้งวงThe Foo Fighters ซึ่งออกอัลบั้มชุดแรกในฤดูร้อนปี 1995 ส่วนคริส โนโวเซลิกก็ตั้งวง Sweet 75 และออกอัลบั้มแรก ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1997 และตอนนี้ ฟอร์มวงที่มีชื่อว่า Eyes Adrift

แนวเพลง
แม้เพลงของ เนอร์วานา น่าจะฟังดูคล้ายส่วนผสม ระหว่าง เพลงของ แบล็กแซ็บบาธ กับ Cheap Trick แต่เพลงของ เนอร์วานา เป็นอินดี้ร็อกขนานแท้ เนอร์วานา นำเพลงของ Vaselines มาร้อง และยังปลุกกระแส นิวเวฟด้วย เคิร์ท โคเบน หัวหน้าวง เนอร์วานา ผลักดัน วงดนตรีที่เขาชื่นชอบอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรี แนวอาร์ตพังค์อย่าง Raincoats หรือวงแนวฮาร์ดคอร์ อย่าง The Meat Puppets จนดูเหมือนว่า เพลงในดวงใจของเคิร์ท สำคัญกว่าเพลงของตัวเขาเอง เนื่องจาก เนอร์วานา มีพื้นฐานจากแนวอินดี้ แต่ชอบเพลงป็อป แนวเพลงของวง ที่ออกมาระหว่าง การเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จึงแปรผันไปตามเวลา จนกระทั่ง เนอร์วานา กลายเป็นวงแอนตี้ร็อก ที่อื้อฉาวที่สุดวงหนึ่ง ในประวัติศาสตร์วงการเพลง


ที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2